วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

45 ข้อคิดดีๆ


1.อย่าเก็บอดีตมาทำร้ายตัวเอง แต่จงหัดที่จะเรียนรู้จากมัน


2.ดูแลบิดา มารดาให้ดี มีโอกาสรีบทำซะก่อนจะไม่มีท่าน



3.เมื่อมีเรื่อง จงหมั่นปรึกษาผู้อื่น และจงเป็นที่ปรึกษาให้ผู้อื่นด้วย



4.ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ให้มันพักผ่อนซะบ้าง



5.สิ่งที่แข็งที่สุด เอาชนะได้ด้วยสิ่งที่อ่อนที่สุด



6.เมื่อประตูบานหนึ่งปิด อีกบานหนึ่งก็เปิด แต่บ่อยครั้งที่เรามัวแต่จ้องประตูบานที่ปิด จนไม่ทันเห็นว่ามีอีกบานเปิดอยู่



7.กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ หัดเติมให้คนอื่น แล้วเขาจะกลับมาเติมให้คุณเอง



8.อารมณ์ ขันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ช่วยรักษาสิ่งอื่นได้ เพราะทันทีที่เกิดอารมณ์ขัน ความรำคาญและความขุ่นข้องจะจางหายไป กลับกลายเป็นความแจ่มใสของจิตใจเข้ามาแทนที่



9.อย่ากลัว ที่จะนั่งหยุดพัก เพื่อคิด



10. 1 นาทีที่คุณโกรธ เท่ากับว่าคุณได้สูญเสีย 60 วินาทีแห่งความสงบในจิตใจไปแล้ว



11.หนทางเดียวที่จะรักษาภาพพจน์ได้คือการซื่อสัตย์ตลอดเวลา



12.Oxygen สำคัญต่อปอดฉันใด ความหวังก็เป็นฉันนั้นต่อความหมายของชีวิต



14.ความอดทน คือ เพื่อสนิทของสติปัญญา



15.ในธรรมชาติไม่มีสิ่งใดดีพร้อม แต่ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบในตัวเอง ต้นไม้อาจบิดเบี้ยวโค้งงออย่างประหลาด แต่ก็ยังคงความงดงาม



16.มักพูดกันว่า กาลเวลาเปลี่ยนทุกสิ่ง แต่จริงๆแล้ว คุณต้องเปลี่ยนทุกสิ่งด้วยตนเอง



17.จงรู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไร ที่ทำอยู่มีผลดีผลเสีย



มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์



18.อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่า



19.อย่าอ่านข้อความที่มีประโยชน์เพียงผ่านๆ อ่านแล้วคิด คิดแล้วทำ หมั่นพัฒนาตนเอง



20.รู้จักแบ่งเวลาและหน้าที่ ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมบ้าง



21.อย่ารอคอยในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อย่ากลัวในสิ่งที่ตนสามารถสู้หรือเปลี่ยนแปลงมันได้



22.อย่าเสียใจกับสิ่งที่เลวร้ายหรือสูญเสียไปแล้ว มันไม่กลับมา  แต่คุณสามารถทำมันใหม่ หรือเรียนรู้จากมันได้



23.ให้อภัยแก่ตนเองและผู้อื่น คนไม่ผิดคือคนที่ไม่เคยทำอะไร



24.อย่าเห็นแก่ตัว จงเป็นฝ่ายให้มากกว่ารับ



25.คำพูดให้กำลังใจคนได้ ปลอบใจได้ ยุให้ทะเลาะกันได้ ทำให้เสียความรู้สึกได้ จงรู้จักที่จะพูด



26.คุณซื้อนาฬิกาได้ แต่คุณซื้อเวลาไม่ได้ ตอนนี้มีใครคอยคุณอยู่หรือเปล่า? ถ้ามีก็กลับไปหาซะ



27.อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคร้ายที่สุด และอย่าคิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีที่สุด



28.ปริศนาในเกมคุณแก้ได้ แล้วทำไมปริศนาในชีวิตคุณแก้ไม่ได้ ในเมื่อบทสรุปก็อยู่ในตัวคุณเอง?



29.มีเรื่องราวอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนลงในหนังสือ ลองค้าคว้าดูเองแล้วจะรู้



30.ลูกธนูที่ถูกปล่อยออกจากคันธนู อันตรายน้อยกว่าหอกที่แทงมาจากข้างหลัง



31.ตัวคุณมีค่าอยู่แล้ว อยู่ที่คุณรู้จักดึงมันออกมาใช้ได้รึเปล่า?



32.หาความสุขของตัวเองให้เจอ หัดมีความสุขซะบ้าง เราลืมอดีตไม่ได้แต่เราเลิกคิดได้



33.บางครั้งการอยู่คนเดียวก็ไม่ได้ “เลวร้าย” เสมอไป



34.สิ่งที่คุณปล่อยผ่านๆไปในชีวิต หรือเรื่องที่คุณเห็นว่าไม่สำคัญ ลองกลับมาดูแลตรงนั้นบ้างก็ดี



35.ไม่มีมิตรถาวร และศัตรูที่แท้จริง



36.จงทำวันนี้ให้ดีที่สุดเพื่อตัวเราเอง คนที่เรารัก และคนที่อยู่รอบกายเรา



37.เมื่อคิดจะทำอะไร หากคิดมากไป แล้วเมื่อใดจะได้ลงมือทำ



38.อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านไป โดยที่ยังไม่พยายาม



39.หากอยากประสบความสำเร็จ จงทำงานที่ตัวเองถนัด อย่าหวังพึ่งพาผู้อื่น



40.งานหนักเพียงใด หากทำด้วยใจและความสุข เราแทบจะไม่รู้สึกเหนื่อยเลย



41.จิตจะสงบได้อย่างไร หากมัวแต่ใส่ใจคำพูดของคนอื่น



42.มองโลกในแง่ดี ชีวิตจะมีความสุข



43.ทำอะไรจงทำให้ดี เพราะจะไม่มีคำว่าเสียใจในสิ่งที่ทำ



44.ความกตัญญู คือ คุณค่าของคนที่น่านับถือ



45.จงทำตัวให้มีประโยชน์ต่อสังคมและแผ่นดิน


ที่มาhttp://www.clipmass.com/scoop_search_result.php?search_id=45%20%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%86

ความฝันของฉัน


คนเราทุกคนต่างมีความหวังและความฝันของตัวเอง การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความหวังนั้นไม่แตกต่างอะไรจากการอยู่โดยปราศจากชีวิต เมื่อเราเป็นเด็กเรามักมีความฝันที่จะทำอะไร จะเป็นอะไรเมื่อเราโตขึ้น ความฝันของเรามักจะเปลี่ยนไปเสมอเมื่อเวลาผ่านไป
สมัยที่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันต้องการที่จะเป็นคนมีการศึกษาสูง ฉันฝันที่จะเป็นคนที่ทุกคนในชุมชนรู้จักในฐานะของนักพัฒนาชุมชน แม่บอกฉันว่าถ้าฉันอยากให้ฝันเป็นจริง สิ่งแรกที่ฉันต้องทำคือต้องเรียนหนังสือให้มากที่สุด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉันเรียนหนังสืออย่างหนักมาโดยตลอดเพื่อให้ฝันของฉันเป็นจริง
เกิดการสู้รบครั้งใหญ่ขึ้นในหมู่บ้านของฉัน เมื่อฉันเรียนจบระดับชั้นการศึกษาปีที่ 4 ในประเทศพม่า ทหารพม่าบุกเข้ามาในหมู่บ้าน พวกทหารเผาบ้าน โรงเรียนและโบสถ์ของเรา ทำลายทุกอย่างรวมทั้งสัตว์เลี้ยงของเรา ชาวบ้านถูกทหารพม่าตามจับ ถ้าใครถูกจับจะถูกทรมาณอย่างโหดร้ายก่อนถูกฆ่า
ราต้องหนีเข้าไปอยู่ในป่าเพื่อเอาชีวิตรอด สิ่งเดียวที่เป็นเพื่อนเราในป่าคือยุง เราต้องนอนหลับใต้ต้นไม้ มีหยาดน้ำฝนห่อหุ้มร่่างกายเราต่างผ้าห่ม ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตไม่แตกต่างไปจากสัตว์ตัวหนึ่ง หัวใจของฉันสิ้นหวัง ความฝันทั้งหมดของฉันพังทลาย ไม่ว่าฉันจะพยายามมากแค่ไหน ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีตัวตนหลงเหลืออยู่ ฉันไม่สามารถแม้ที่จะฝันที่จะมีความฝันอีกครั้ง ฉันไม่สามารถแม้จะหวังที่จะมีความหวังอีกครั้ง
ทันใดนั้น เพื่อนกลุ่มใหม่ของเราเข้ามาพบเรา พวกเขาเป็นกลุ่มองค์กรเอกชนที่ให้ความช่วยเหลือคุ้มครองพวกเราในพื้นที่พักพิงชั่วคราว ฉันรู้สึกเหมือนนกที่ปีกทั้งสองข้างเร่ิมแข็งแรงขึ้น และพร้อมที่จะโบยบินอีกครั้ง แต่ทว่าฉันกลับไม่สามารถโบยบินได้อย่างอิสระเสรี เพราะฉันกับชาวบ้านคนอื่น ๆ ต้องอยู่รวมกันในกรงนกกรงใหญ่ หากเราพยายามที่จะบินออกไปนอกกรงเราจะถูกจับ เพราะประเทศที่ให้เราพักพิงนั้นไม่อนุญาตให้เราออกไป
ฉันยังมีความโชคดีอยู่บ้าง เพราะฉันได้รับโอกาสเรียนหนังสืออีกครั้ง หลังจากที่ต้องอยู่อาศัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราวแห่งนี้นานถึง 2 ปี เป็นครั้งแรกที่ฉันเริ่มที่จะมีความฝัน

ที่มาhttp://unhcr.or.th/th/refugee/stories/662

ทุกข์ของชาวนา


ทุกข์ของชาวนาในบทกวี
ผู้แต่ง : สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ที่มา : หนังสือ มณีพลอยร้อยแสง หมวด ชวนคิดพิจิตรภาษา
จุดมุ่งหมาย : แสดงให้เห็นถึงทุกข์ของชาวนา โดยผ่านบทกวี
ลักษณะคำประพันธ์ : ความเรียง โดยใช้บรรยาโวหาร - สาธกโวหาร (ยกตัวอย่างบทกวี)


บทกวีของ จิตร ภูมิศักดิ์
เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจินต์
เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ข้าวนี้นะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังสิทุกข์ทน และขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นเม็ดพราว ล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ
เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเป็นกิน
น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน

แทนตนเองว่าเป็นชาวนา ที่เรียกร้องความเสมอภาค และแสดงถึงความยากลำบาก แสนสาหัส ในการทำนา ปลูกข้าว ให้ทุกคนกิน
ความช่วยเหลือที่สังคมมีต่อชาวนาในด้านปัจจัยการผลิต การพยุงหรือประกันราคา การรักษาความยุติธรรมก็แทบเป็นไปไม่ได้ ทำให้ชาวนาต่างก็ละทิ้งอาชีพเกษตรกรรม ไปอยู่ในภาคอุตสาหกรรมหรือภาคบริการ แต่ก็ยังมีชาวนาอีกจำนวนหนึ่ง ที่จะขยับขยายตัวเองให่อยู่ในสถานะดีขึ้น ด้วยการปลูกข้าวให้คนอื่นกินต่อไป

บทกวีของ หลี่เชิน

หว่านข้าวในฤดูใบไม้ผลิ ข้าวเมล็ดหนึ่ง
จะกลายเป็นหมื่นเมล็ดในฤดูใบไม้ร่วง
รอบข้างไม่มีนาที่ไหนทิ้งว่าง
แต่ชาวนาก็ยังอดตาย
ตอนอาทิตย์เที่ยงวัน ชาวนายังพรวนดิน
เหงื่อหยดบนดินภายใต้ต้นข้าว
ใครจะรู้บ้างว่าในจานใบนั้น
ข้าวแต่ละเม็ดคือความยากแค้นแสนสาหัส



บรรยายภาพอย่างเรียบง่าย แต่แสดงความขัดแย้ง ชาวนาที่ปลูกข้าวมากมาย จนไม่มีที่นาว่าง แต่ชาวนาก็ยังอดตาย มีการใช้โวหารปฏิพากย์ คือ แสดงความขัดแย้ง เช่น รอบข้างไม่มีนาที่ไหนทิ้งว่าง แต่ชาวนาก็ยังอดตาย แม้ว่าสภาพบ้านเมืองในเวลานี้จะเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ก็ไม่มีอะไรแตกต่างมากนัก เรื่องความทุกข์ของชาวนายังคงเป็นแรงสร้างความสะเทือนใจต่อไป


ที่มาhttp://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=2297

บันได 5 ขั้นสู่ชีวิตที่มีค่า


 

 
บันได 5 ขั้นสู่ชีวิตใหม่ที่มีค่าและเป็นสุข


หลาย ๆคน มักจะพร่ำสัญญากับตัวเองเสมอว่า ฉันจะเป็นคนใหม่ ที่สดใส สำเร็จและเป็นสุข เอาหละค่ะ บางทีการตั้งเป้าเอาไว้ แต่พอถึงเวลาจริง ๆ แล้ว ไม่ลงมือปฏิบัติการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง อะไร ๆ มันก็ไม่ดีขึ้นจริงไหมคะ หรือถ้าหากว่าใคร ไม่รู้จะเริ่มต้นลงมือกันอย่างไร ก็ลองมาใช้วิธีการที่เรียกว่า บันได 5 ขั้น นี้ดูค่ะ 

บันไดขั้นที่ 1
 
มองตัวเองว่าดีและมีคุณค่าทุกวัน โดยที่ตื่นนอนมา ก็จงยิ้มกับตัวเอง และบอกกับตัวเองว่า "เรานี่ช่างโชคดีจริง ๆ " จากนั้น ก็นึกถึงคุณงามความดี หรือสิ่งดี ๆ ที่เราได้เคยทำเอาไว้ เช่น เมื่อวานช่วยพาคนแก่ข้ามถนน อย่างนี้เป็นต้น นอกจากนั้นให้อวยพรตัวเองเสมอ อย่าเอาแต่แช่งตัวเอง มองจุดดี และเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง 

บันไดขั้นที่ 2 

มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี นอกจากจะมองตัวเองดีแล้ว ก็จงถ่อมตัว ถ่อมใจตัวเองด้วย โดยคิดว่า ทุก ๆ คนก็มีความสามารถทั้งนั้น ซึ่งอาจจะเด่น อาจจะเก่งในแง่มุม ในเรื่องที่แตกต่างกัน อย่างเช่นว่า มีโทรศัพท์มาก็ให้คิดว่าคนดี ๆ โทรมาบอกเรื่องดี ๆ คิดอย่างนี้เสมอจนกลายเป็นนิสัยของเราไปเลยจะยิ่งดี 

บันไดขั้นที่ 3 

วันนี้ให้ดีที่สุด นั่นคือให้เราอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้ให้ดีที่สุด ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ให้ยอมรับเพราะว่าเราทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว และให้คิดต่อไปว่า ในอนาคตเราจะทำให้ดีกว่านี้อีก 

บันไดขั้นที่ 4 

มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ ถ้าเราเชื่อและบอกกับตัวเองเช่นนั้นเป็นประจำ กำลังใจก็จะเกิดจะมีพลังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตโดยไม่เกรงกลัว หัดเป็นคนมีความหวัง และมีอารมณ์ขันในชีวิตเสมอ 

บันไดขั้นที่ 5 

ปรับปรุงตัวเองเสมอ ทั้งในแง่ของการทำงาน ครอบครัว สังคม และตนเอง โดยในส่วนของการงานนั้น ก็ให้ขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัวเสมอ ครอบครัวก็ต้องคิดในสิ่งที่ดีต่อกัน รู้จักให้อภัยกัน ไม่อิจฉา ระแวง แข่งขัน มีน้ำใจ และเกรงใจกัน ด้านสังคม ก็ให้หมั่นสร้างมิตรเสมอ ช่วยเหลือผู้อื่น ส่วนด้านของตนเองนั้น ก็ให้พัฒนาตนเองเพื่อลบปมด้อย ภูมิใจในตนเอง ตามความเป็นจริง อย่าผัดวันประกันพรุ่งนี้อีกเลย มาเริ่มไต่บันไดเพื่อไปสู่ชีวิตที่มีความสุขได้เลย 


 
ที่มา:fwmail

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

บทความคนล้มเหลว



 สิ่งสำคัญที่ทำให้ข้าพเจ้ามีชีวิตยาวนานถึง ๕๗ ปีนั้น หาใช่เงินทองหน้าที่การงานหรือความมีชื่อเสียงไม่ หากแต่เป็นเพียงวัสดุดาษดื่นที่ ‘พวกเขา’ หมดความต้องการหรือเห็นว่าไม่สามารถใช้ประโยชน์ใดๆจากมันได้อีก
       ที่จริงแล้วพวกเขามีชื่อเรียกมันว่า ‘ขยะ’ และเนื่องจากข้าพเจ้าไม่มีความต้องการในการครอบครองเงินทอง ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ทำงานเป็นคนเก็บขยะ เพียงแต่ข้าพเจ้าใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตจากมันก็เท่านั้น
และแน่นอนว่ามันก็ต้องมีสาเหตุหรือเหตุการ์ณที่ผันเปลี่ยนให้ข้าพเจ้าต้องมาใช้ชีวิตข้างถนนเยี่ยงนี้
เหตุการ์ณเริ่มต้นเมื่อสมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็นวัยกลางคน ข้าพเจ้าถูกจัดอยู่ใมนุษย์จำพวกที่เรียกได้ว่าล้มเหลวในทุกๆการกระทำและทุกๆการตัดสินใจ ไม่เคยเลยสักครั้งที่่ข้าพเจ้าจะสำเร็จ
      เมื่อข้าพเจ้าตระหนักถึงความล้มเหลวเป็นครั้งแรก แน่นอนที่ข้าพเจ้าต้องเสียใจและแน่นอนที่ข้าพเจ้าต้องผิดหวังแต่เนื่องด้วยความล้มเหลวเหล่านี้ไม่หยุดเฉพาะในคราวแรกเท่านั้น พวกมันตามหลอกหลอนข้าพเจ้าในทุกๆเรื่องที่ข้าพเจ้ากระทำ
      ข้าพเจ้าถูกเรียกว่าเป็นคนขี้แพ้และหากข้าพเจ้ามีศักดิ์ศรีหลงเหลืออยู่บ้างข้าพเจ้าคงไม่ยินยอมให้ใครมาเรียกอย่างนั้นแน่ๆ แต่ข้าพเจ้าไม่มีศักดิ์ศรีเหล่านั้นอยู่เลย เหตุที่ข้าพเจ้าไม่มีศักดิ์ศรีนั้นจะเป็นอะไรไปได้นอกจากความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าที่ประสบ ส่งผลให้คนรอบข้างข้าพเจ้าเริ่มรังเกียจและมองข้าพเจ้าเป็นคนไร้ค่าคนนึง ข้าพเจ้าไม่อาจเสนอความคิดเห็นเพราะไม่มีใครฟัง ข้าพเจ้าไม่อาจเรียกร้องความเท่าเทียมได้เพราะไม่มีใครหยิบยื่นความเท่าเทียมให้แก่ข้าพเจ้า
 ข้าพเจ้าเรียกร้องความช่วยเหลือซึ่งไม่มีใครต้องการจะให้ ข้าพเจ้าถูกปฏิเสธทางด้านความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง จากความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าจึงทำให้คนรอบข้างตัดสินใจที่จะตัด ข้าพเจ้าออกจากสังคมของพวกเขา นานวันเข้าข้าพเจ้ากลายก็เป็นคนไร้ซึ่งตัวตน ไม่มีใครอยากเห็นข้าพเจ้าเดินกลางถนน ไม่มีใครอยากรู้สึกถึงการดำรุงอยู่ของข้าพเจ้าไม่เพียงแต่ข้าพเจ้าเท่านั้น ที่พวกเขาไม่อยากรับรู้แต่หากเป็นทุกๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าทุกๆ สัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน
      ข้าพเจ้าถูกลืม เลือน พวกเขาเหล่านั้นไม่อยากแม้แต่จะเห็นบ้านของข้าพเจ้าในระหว่างที่พวกเขาเดิน หรือขับรถผ่าน พวกเขาตัดสินใจรื้อบ้านของข้าพเจ้านั้นทิ้งเพราะพวกเขา(เลือกที่จะ)คิดว่า ไม่มีใครอยู่ในบ้านหลังนั้นอีกแล้ว พวกเขาเหล่านั้นเหลือหนทางให้ข้าพเจ้าเพียงทางเดียวคือการถอยห่างออกมาจนสุด ขอบสังคม
      ข้าพเจ้าล้มเหลวในความเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าถูกทำให้ล้มเหลวด้วยการแข่งขันที่ข้าพเจ้าไม่ชนะ การแข่งขันที่ข้าพเจ้าเลือกที่จะแพ้ ข้าพเจ้าล้มเหลวในมุมมองของพวกเขาเหล่านั้น แต่ในอีกแง่หนึ่งข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้ล้อมเหลวอะไรเลยนั้นก็เพราะในมุมมองของ ข้าพเจ้าคนเหล่านั้นต่างหากที่ไม่มีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่เลย
       ข้าพเจ้ายอมที่จะเป็นคนไร้ค่าดีกว่าการศรัทธาในพลังเงิน ข้าพเจ้ายอมเป็นคนไร้ค่าดีกว่าการทรยศผู้อื่นเพื่อตอบสนองความต้องการของตน เอง ข้าพเจ้ายอมปฏิเสธความสำเร็จเหล่านั้นเนื่องด้วยความสำเร็จนั้นได้มาด้วยการเบียดเบียนและทำร้ายคนรอบข้าง
       ข้าพเจ้าเลือกที่จะเป็นคนล้มเหลวแต่ในความล้มเหลวที่พวก เขาเหล่านั้นหยิบยื่นให้ข้าพเจ้านั้นกลับเป็นความสำเร็จครั้งแรกในชีวิตของข้าพเจ้าในสายตาของพวกเขาเหล่านั้น ข้าพเจ้าพ่ายแพ้แต่สำหรับข้าพเจ้านั้นข้าพเจ้าไม่เคยล้มเหลวในฐานะการเป็น’มนุษย์’คนหนึ่ง
ที่มาAstronaut by Peter Vidani     /      Tumblr